1. กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่าครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112 ในสมัยพระมหินทราธิราชสาเหตุมาจาก
- คนไทยแตกความสามัคคี
- พระยาจักรีเป็นไส้ศึก
- ผู้นำอ่อนแอเพราะว่างเว้นจากการทำสงครามมานาน ผลของสงครามไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านาน 15 ปี พระนเรศวรทรงกอบกู้เอกราชสำเร็จในปี 2127
2. กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่าครั้งที่ 2 ในปี 2310 สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ สาเหตุมาจาก
- คนไทยแตกความสามัคคี
- ขาดผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะว่างเว้นจากสงครามมานาน
- ขาดแคลนเสบียงอาหาร
ผลของสงครามไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านาน 1 ปี 2 เดือน ผู้กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ คือ พระเจ้าตากสินมหาราช
- คนไทยแตกความสามัคคี
- พระยาจักรีเป็นไส้ศึก
- ผู้นำอ่อนแอเพราะว่างเว้นจากการทำสงครามมานาน ผลของสงครามไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านาน 15 ปี พระนเรศวรทรงกอบกู้เอกราชสำเร็จในปี 2127
2. กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่าครั้งที่ 2 ในปี 2310 สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ สาเหตุมาจาก
- คนไทยแตกความสามัคคี
- ขาดผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะว่างเว้นจากสงครามมานาน
- ขาดแคลนเสบียงอาหาร
ผลของสงครามไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านาน 1 ปี 2 เดือน ผู้กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ คือ พระเจ้าตากสินมหาราช
9
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ของประเทศไทย
โดยเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆถึง 417 ปี
เป็นเมืองหลวงที่อายุยาวที่สุดของไทย โดยมีกษัตริย์ทั้งสิ้น 33 พระองค์ จาก
5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย
ราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง[1]
เป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการทหาร
ด้านการทูตและด้านเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น
มีการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าถึงสองครั้ง ครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112
โดยพระเจ้าบุเรงนอง และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 โดยพระเจ้ามังระ
พระ เจ้าบุเรงนองมีดำริจะบุกเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น จึงยกทัพตีเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองในปกครองของกรุงศรีอยุธยาแม้กระทั่งเมืองพิษณุโลกสองแคว แต่ก็ยังไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกได้โดยเร็ว สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้เสด็จยกมาช่วยแต่ก็ถูกพม่าตีแตกพ่ายที่สระบุรี พระยาจักรีหนึ่งในเสนาที่ถูกกุมตัวไปยังกรุงหงสาวดี เมื่อครั้งแพ้สงครามช้างเผือก ก็เห็นแก่ทรัพย์ที่พระเจ้าบุเรงนองประทานให้ผู้ที่คิดแผนตีกรุงศรีอยุธยาลง ได้ จึงเสนอตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ในกรุงศรีอยุธยา โดยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยาทำทีเป็นว่าลอบหนีมาจากกรุงหงสาวดีได้ ประกอบด้วยความไว้พระทัยที่พระมหินทราธิราชมีต่อพระยาจักรีผู้นี้ จึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ พระยาจักรีจึงวางอุบายให้ทหารที่มีความสามารถไปประจำกองที่ไม่มีความสำคัญ และให้ทหารที่ไร้ฝีมือมาเป็นทัพหน้าประจัญบานกับกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง แม่ทัพนายกองที่พอจะมีฝีมือก็หาเรื่องใส่ความให้ต้องโทษขังหรือเฆี่ยน เพียงข้ามคืนกรุงศรีอยุธยาก็พ่ายแพ้ เสียกรุงให้กับพม่าเป็นครั้งแรก
* เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 1*
พระยาจักรีเมื่อกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนอง ก็ผิดคาด ด้วย พระเจ้าบุเรงนองมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตพระยาจักรีเนื่องจากการเป็นกบฎ กล่าวคือ พระยาจักรีนั้นทำได้แม้กระทั่งการทรยศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แล้วต่อไปในภายภาคหน้าก็คงจะสามารถทรยศกรุงหงสาวดีได้เช่นกัน โดยตอกมือไว้กับหีบทองของรางวัลที่บุเรงนองประทานให้แล้วจับถ่วงน้ำ
สมเด็จพระมหินทราธิราช ถูกพาตัวไปที่กรุงหงสาวดี โดยบุเรงนองตั้งให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ของอยุธยา ซึ่งมาจากราชวงศ์สุโขทัย แล้วนำลูกชายของพระมหาธรรมราชาไปเลี้ยงดู ซึ่งลูกชายของพระมหาธรรมราชาคนนั้นคือพระนเรศวรมหาราช ซึ่งต่อมาในภายหลังเป็นผู้นำที่ทำสงครามกับพม่านำอิสรภาพมาสู่สยาม
* เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 2 *
ในปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระเพทราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 28 และตั้งราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ต่อจากราชวงศ์ปราสาททองของแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงพยายามสร้างพระราชอำนาจด้วยการลดอำนาจและอิทธิพลของขุนนาง เพื่อสกัดกั้นปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะขุนนางมีอำนาจควบคุมกำลังไพร่พลของตัวเอง นอกจากนั้นยังพยายามขยายอำนาจไปควบคุมหัวเมืองมากขึ้น ซึ่งมักถูกต่อต้านแข็งขืนจากผู้ปกครองหัวเมืองอย่างต่อเนื่อง หลักฐานจากพระราชโองการเก่าหรือพระราชกำหนดเก่าในกฎหมายตราสามดวง กล่าวถึงปัญหาในการบริหารจัดการรายได้และตัดสินความต่าง ๆ ในหัวเมือง ตามมาด้วยการแทรกแซงจากราชธานีเป็นระยะ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นผู้เสนอการอธิบายสาเหตุของความระส่ำระสายจนทำให้อยุธยาต้องพ่ายแพ้ สงครามในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น ด้วยการอธิบายถึงการปฏิเสธอำนาจของราชธานีเพราะการควบคุมและช่วงชิงผล ประโยชน์เหนือหัวเมือง จนเมื่อข้าศึกรุกราน หัวเมืองเหล่านี้ก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่การอธิบายในงานเขียนก่อนหน้ามักให้ความสำคัญที่ความสามารถของพระมหา กษัตริย์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อยุธยาอ่อนแอและต้องพ่ายแพ้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะหลังเห็นว่า อาณาจักรอยุธยา เกิดจากการรวมตัวของเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้ปกครองของตัวเองและยอมรับอำนาจของราชธานี หัวเมืองต่าง ๆ จึงค่อนข้างอยู่อย่างอิสระ เว้นแต่ในบางช่วงเวลาที่ราชธานีพยายามควบคุมมากขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ส่งราชนิกูลไปปกครอง หรือให้มีขุนนางยกกระบัตรไปกำกับการทำงานของเจ้าเมืองและกรมการเมืองอีกชั้น หนึ่ง แต่ก็มักเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องและอาจถูกต่อต้านจากหัวเมืองในที่สุด มีผลทำให้อยุธยามีอำนาจและความสามารถในการป้องกันตนเองที่จำกัด
แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้ามังระ กษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์อลองพญา (กษัตริย์พระองค์ที่ 2 คือ พระเจ้ามังลอก) ได้ยกกองทัพหวังจะตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกพ่าย ได้ตั้งป้อมปราการที่วัดหน้าพระเมรุ (ด้วยเหตุนี้วัดหน้าพระเมรุจึงเป็นวัดเก่าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาวัดเดียว ที่มีสภาพดีอยู่) และทำลายกรุงศรีอยุธยาด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการยิงปืนใหญ่ ลอกทองจากพระพุทธรูป จับผู้คนไปเป็นเชลย ส่วนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ก็เสด็จสวรรคตด้วยเหตุที่พระองค์หลบซ่อนจนไม่ได้เสวยพระกระยาหาร
ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากได้ทำการกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ไม่นานหลังจากที่พระเจ้ามังระสามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ พระยาตากทรงเล็งเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นย่อยยับเกินกว่าที่จะทำการบูรณะ ซ่อมแซมได้ จึงไปตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
*** มูลเหตุการเสียกรุง ทั้ง 2 ครั้ง ***
1.ขาดความสามัคคี หัวเมืองต่าง ๆ ไม่รวมเป็นหนึ่ง แยกกันสู้ศึก โดยศูนย์กลางอำนาจ (อยุธยา) ไม่ให้การสนับสนุน
2. เห็นประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ
3. ผู้นำอ่อนแอ
******** ความแตกต่าง ***********
1. ในเรื่องของการเสียกรุง มีความคล้ายกัน จึงมีความแตกต่างไม่มากนัก
1.1 ครั้งที่ 1 เมื่อตกเป็นเมืองขึ้น ยังคงให้คนไทยปกครอง โดยนำพระเนศวร ไปเป็นตัวประกัน เมืองไม่ถูกทำลายมากนัก
1.2 ครั้งที่ 2 ส่งพม่า มาดูแล และทำลายเมืองอย่างย่อยยับ
2. สำหรับเรืองการกู้เอกราช มีความแตกต่างกัน
2.1 ครั้งที่ 1 -- รบกับพม่า
2.2 ครั้งที่ 2 -- รบกับคนไทยด้วยกัน (รวบรวมก๊กต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่ง) แล้วจึงรบกับพม่า
พระ เจ้าบุเรงนองมีดำริจะบุกเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น จึงยกทัพตีเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองในปกครองของกรุงศรีอยุธยาแม้กระทั่งเมืองพิษณุโลกสองแคว แต่ก็ยังไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกได้โดยเร็ว สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้เสด็จยกมาช่วยแต่ก็ถูกพม่าตีแตกพ่ายที่สระบุรี พระยาจักรีหนึ่งในเสนาที่ถูกกุมตัวไปยังกรุงหงสาวดี เมื่อครั้งแพ้สงครามช้างเผือก ก็เห็นแก่ทรัพย์ที่พระเจ้าบุเรงนองประทานให้ผู้ที่คิดแผนตีกรุงศรีอยุธยาลง ได้ จึงเสนอตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ในกรุงศรีอยุธยา โดยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยาทำทีเป็นว่าลอบหนีมาจากกรุงหงสาวดีได้ ประกอบด้วยความไว้พระทัยที่พระมหินทราธิราชมีต่อพระยาจักรีผู้นี้ จึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ พระยาจักรีจึงวางอุบายให้ทหารที่มีความสามารถไปประจำกองที่ไม่มีความสำคัญ และให้ทหารที่ไร้ฝีมือมาเป็นทัพหน้าประจัญบานกับกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง แม่ทัพนายกองที่พอจะมีฝีมือก็หาเรื่องใส่ความให้ต้องโทษขังหรือเฆี่ยน เพียงข้ามคืนกรุงศรีอยุธยาก็พ่ายแพ้ เสียกรุงให้กับพม่าเป็นครั้งแรก
* เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 1*
พระยาจักรีเมื่อกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนอง ก็ผิดคาด ด้วย พระเจ้าบุเรงนองมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตพระยาจักรีเนื่องจากการเป็นกบฎ กล่าวคือ พระยาจักรีนั้นทำได้แม้กระทั่งการทรยศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แล้วต่อไปในภายภาคหน้าก็คงจะสามารถทรยศกรุงหงสาวดีได้เช่นกัน โดยตอกมือไว้กับหีบทองของรางวัลที่บุเรงนองประทานให้แล้วจับถ่วงน้ำ
สมเด็จพระมหินทราธิราช ถูกพาตัวไปที่กรุงหงสาวดี โดยบุเรงนองตั้งให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ของอยุธยา ซึ่งมาจากราชวงศ์สุโขทัย แล้วนำลูกชายของพระมหาธรรมราชาไปเลี้ยงดู ซึ่งลูกชายของพระมหาธรรมราชาคนนั้นคือพระนเรศวรมหาราช ซึ่งต่อมาในภายหลังเป็นผู้นำที่ทำสงครามกับพม่านำอิสรภาพมาสู่สยาม
* เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 2 *
ในปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระเพทราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 28 และตั้งราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ต่อจากราชวงศ์ปราสาททองของแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงพยายามสร้างพระราชอำนาจด้วยการลดอำนาจและอิทธิพลของขุนนาง เพื่อสกัดกั้นปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะขุนนางมีอำนาจควบคุมกำลังไพร่พลของตัวเอง นอกจากนั้นยังพยายามขยายอำนาจไปควบคุมหัวเมืองมากขึ้น ซึ่งมักถูกต่อต้านแข็งขืนจากผู้ปกครองหัวเมืองอย่างต่อเนื่อง หลักฐานจากพระราชโองการเก่าหรือพระราชกำหนดเก่าในกฎหมายตราสามดวง กล่าวถึงปัญหาในการบริหารจัดการรายได้และตัดสินความต่าง ๆ ในหัวเมือง ตามมาด้วยการแทรกแซงจากราชธานีเป็นระยะ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นผู้เสนอการอธิบายสาเหตุของความระส่ำระสายจนทำให้อยุธยาต้องพ่ายแพ้ สงครามในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น ด้วยการอธิบายถึงการปฏิเสธอำนาจของราชธานีเพราะการควบคุมและช่วงชิงผล ประโยชน์เหนือหัวเมือง จนเมื่อข้าศึกรุกราน หัวเมืองเหล่านี้ก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่การอธิบายในงานเขียนก่อนหน้ามักให้ความสำคัญที่ความสามารถของพระมหา กษัตริย์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อยุธยาอ่อนแอและต้องพ่ายแพ้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะหลังเห็นว่า อาณาจักรอยุธยา เกิดจากการรวมตัวของเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้ปกครองของตัวเองและยอมรับอำนาจของราชธานี หัวเมืองต่าง ๆ จึงค่อนข้างอยู่อย่างอิสระ เว้นแต่ในบางช่วงเวลาที่ราชธานีพยายามควบคุมมากขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ส่งราชนิกูลไปปกครอง หรือให้มีขุนนางยกกระบัตรไปกำกับการทำงานของเจ้าเมืองและกรมการเมืองอีกชั้น หนึ่ง แต่ก็มักเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องและอาจถูกต่อต้านจากหัวเมืองในที่สุด มีผลทำให้อยุธยามีอำนาจและความสามารถในการป้องกันตนเองที่จำกัด
แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้ามังระ กษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์อลองพญา (กษัตริย์พระองค์ที่ 2 คือ พระเจ้ามังลอก) ได้ยกกองทัพหวังจะตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกพ่าย ได้ตั้งป้อมปราการที่วัดหน้าพระเมรุ (ด้วยเหตุนี้วัดหน้าพระเมรุจึงเป็นวัดเก่าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาวัดเดียว ที่มีสภาพดีอยู่) และทำลายกรุงศรีอยุธยาด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการยิงปืนใหญ่ ลอกทองจากพระพุทธรูป จับผู้คนไปเป็นเชลย ส่วนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ก็เสด็จสวรรคตด้วยเหตุที่พระองค์หลบซ่อนจนไม่ได้เสวยพระกระยาหาร
ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากได้ทำการกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ไม่นานหลังจากที่พระเจ้ามังระสามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ พระยาตากทรงเล็งเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นย่อยยับเกินกว่าที่จะทำการบูรณะ ซ่อมแซมได้ จึงไปตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
*** มูลเหตุการเสียกรุง ทั้ง 2 ครั้ง ***
1.ขาดความสามัคคี หัวเมืองต่าง ๆ ไม่รวมเป็นหนึ่ง แยกกันสู้ศึก โดยศูนย์กลางอำนาจ (อยุธยา) ไม่ให้การสนับสนุน
2. เห็นประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ
3. ผู้นำอ่อนแอ
******** ความแตกต่าง ***********
1. ในเรื่องของการเสียกรุง มีความคล้ายกัน จึงมีความแตกต่างไม่มากนัก
1.1 ครั้งที่ 1 เมื่อตกเป็นเมืองขึ้น ยังคงให้คนไทยปกครอง โดยนำพระเนศวร ไปเป็นตัวประกัน เมืองไม่ถูกทำลายมากนัก
1.2 ครั้งที่ 2 ส่งพม่า มาดูแล และทำลายเมืองอย่างย่อยยับ
2. สำหรับเรืองการกู้เอกราช มีความแตกต่างกัน
2.1 ครั้งที่ 1 -- รบกับพม่า
2.2 ครั้งที่ 2 -- รบกับคนไทยด้วยกัน (รวบรวมก๊กต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่ง) แล้วจึงรบกับพม่า
ครั้งที่ 2 ถูกทำลายย่อยยับ ยากที่จะสร้างสรรค์กลับคืนมาใหม่ ภูมิปัญญา ถูกทำลายสิ้นพร้อมชีวิต หรือตกเป็นทาสเชลยศึก สงคราม
ตอบลบนี่คือความเเตกต่าง
ลบการเสียกรุงศรีส่งผลกระทบต่อวรรณคดีอย่างไรคะ
ลบการทำลายล้าง ในปี 2310 ไทยเสียหายย่อยยับ เกินกว่าจะสร้างสรรคืกลับคืนมาดังเดิม สูญเสียภูมิปัญญา ไปกับการสิ้นชีวิต และทาสเชลยศึกสงคราม สูญเสียปืนจนหมดสิ้น หลายหมื่นกระบอก
ตอบลบมีรายงานส่งครูเเล้ว ละเอียดมาก
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบในอดีต พม่า เก่งกว่าไทย 10 เท่า เป็นทัพที่สามัคคี เข้มแข็ง
ตอบลบการเสียกรุงครั้งที่2เเละกอบกู้เอกราชได้เมื่อพ.ศ.อะไรค่ะ
ตอบลบการเสียกรุงครั้งที่2เเละกอบกู้เอกราชได้เมื่อพ.ศ.อะไรค่ะ
ตอบลบกอบกู้เอกราชได้เมื่อปีพ.ศ.2310โดยสมเด็จพระเจ้าตากครับ
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบจริงแล้วผมคิดว่าการเสียกรุงครั้งที่2เราไม่ได้วางแผนอะไร่เลยโดยใช้ตั้งรับจะไปโทษผู้นำก็ไม่ได้พวกขุนนางก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยขุนศึกเก่งแทบจะไม่มี
ตอบลบมีรายงานส่งครูแล้ว
ตอบลบน่าสนใจดีครับ
ตอบลบเหตุการ์ณการเสียกรุงศรีครั้งที่1ให้ข้อคิดอะไรบ้างคะ
ตอบลบการเสียกรุงศรีส่งผลกระทบต่อวรรณคดีอย่างไรคะ
ตอบลบกอบกู้ครั้งที่1เเละคนั้งที่2ได้ยังไงคะ
ตอบลบ