วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ความแตกต่างการเสียกรุงทั้ง สอง ครั้ง

1. กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่าครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2112 ในสมัยพระมหินทราธิราชสาเหตุมาจาก
- คนไทยแตกความสามัคคี
- พระยาจักรีเป็นไส้ศึก
- ผู้นำอ่อนแอเพราะว่างเว้นจากการทำสงครามมานาน ผลของสงครามไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านาน 15 ปี พระนเรศวรทรงกอบกู้เอกราชสำเร็จในปี 2127
2. กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่าครั้งที่ 2 ในปี 2310 สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ สาเหตุมาจาก
- คนไทยแตกความสามัคคี
- ขาดผู้นำที่เข้มแข็ง เพราะว่างเว้นจากสงครามมานาน
- ขาดแคลนเสบียงอาหาร
ผลของสงครามไทยตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านาน 1 ปี 2 เดือน ผู้กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ คือ พระเจ้าตากสินมหาราช

9
กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ของประเทศไทย โดยเป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆถึง 417 ปี เป็นเมืองหลวงที่อายุยาวที่สุดของไทย โดยมีกษัตริย์ทั้งสิ้น 33 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ราชวงศ์สุโขทัย ราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง[1] เป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการทหาร ด้านการทูตและด้านเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น มีการเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าถึงสองครั้ง ครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112 โดยพระเจ้าบุเรงนอง และครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 โดยพระเจ้ามังระ
           
พระ เจ้าบุเรงนองมีดำริจะบุกเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้น จึงยกทัพตีเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองในปกครองของกรุงศรีอยุธยาแม้กระทั่งเมืองพิษณุโลกสองแคว แต่ก็ยังไม่สามารถตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกได้โดยเร็ว สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง ได้เสด็จยกมาช่วยแต่ก็ถูกพม่าตีแตกพ่ายที่สระบุรี พระยาจักรีหนึ่งในเสนาที่ถูกกุมตัวไปยังกรุงหงสาวดี เมื่อครั้งแพ้สงครามช้างเผือก ก็เห็นแก่ทรัพย์ที่พระเจ้าบุเรงนองประทานให้ผู้ที่คิดแผนตีกรุงศรีอยุธยาลง ได้ จึงเสนอตัวเป็นหนอนบ่อนไส้ในกรุงศรีอยุธยา โดยเข้าไปในกรุงศรีอยุธยาทำทีเป็นว่าลอบหนีมาจากกรุงหงสาวดีได้ ประกอบด้วยความไว้พระทัยที่พระมหินทราธิราชมีต่อพระยาจักรีผู้นี้ จึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ พระยาจักรีจึงวางอุบายให้ทหารที่มีความสามารถไปประจำกองที่ไม่มีความสำคัญ และให้ทหารที่ไร้ฝีมือมาเป็นทัพหน้าประจัญบานกับกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง แม่ทัพนายกองที่พอจะมีฝีมือก็หาเรื่องใส่ความให้ต้องโทษขังหรือเฆี่ยน เพียงข้ามคืนกรุงศรีอยุธยาก็พ่ายแพ้ เสียกรุงให้กับพม่าเป็นครั้งแรก
   * เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 1*
        พระยาจักรีเมื่อกลับไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนอง ก็ผิดคาด ด้วย พระเจ้าบุเรงนองมีพระราชโองการให้ประหารชีวิตพระยาจักรีเนื่องจากการเป็นกบฎ กล่าวคือ พระยาจักรีนั้นทำได้แม้กระทั่งการทรยศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง แล้วต่อไปในภายภาคหน้าก็คงจะสามารถทรยศกรุงหงสาวดีได้เช่นกัน โดยตอกมือไว้กับหีบทองของรางวัลที่บุเรงนองประทานให้แล้วจับถ่วงน้ำ
        สมเด็จพระมหินทราธิราช ถูกพาตัวไปที่กรุงหงสาวดี โดยบุเรงนองตั้งให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ของอยุธยา ซึ่งมาจากราชวงศ์สุโขทัย แล้วนำลูกชายของพระมหาธรรมราชาไปเลี้ยงดู ซึ่งลูกชายของพระมหาธรรมราชาคนนั้นคือพระนเรศวรมหาราช ซึ่งต่อมาในภายหลังเป็นผู้นำที่ทำสงครามกับพม่านำอิสรภาพมาสู่สยาม

   * เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงครั้งที่ 2 *
              ในปี พ.ศ. 2231 สมเด็จพระเพทราชาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 28 และตั้งราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์บ้านพลูหลวง ต่อจากราชวงศ์ปราสาททองของแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กษัตริย์ในราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงพยายามสร้างพระราชอำนาจด้วยการลดอำนาจและอิทธิพลของขุนนาง เพื่อสกัดกั้นปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะขุนนางมีอำนาจควบคุมกำลังไพร่พลของตัวเอง นอกจากนั้นยังพยายามขยายอำนาจไปควบคุมหัวเมืองมากขึ้น ซึ่งมักถูกต่อต้านแข็งขืนจากผู้ปกครองหัวเมืองอย่างต่อเนื่อง หลักฐานจากพระราชโองการเก่าหรือพระราชกำหนดเก่าในกฎหมายตราสามดวง กล่าวถึงปัญหาในการบริหารจัดการรายได้และตัดสินความต่าง ๆ ในหัวเมือง ตามมาด้วยการแทรกแซงจากราชธานีเป็นระยะ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นผู้เสนอการอธิบายสาเหตุของความระส่ำระสายจนทำให้อยุธยาต้องพ่ายแพ้ สงครามในมุมมองที่กว้างขวางขึ้น ด้วยการอธิบายถึงการปฏิเสธอำนาจของราชธานีเพราะการควบคุมและช่วงชิงผล ประโยชน์เหนือหัวเมือง จนเมื่อข้าศึกรุกราน หัวเมืองเหล่านี้ก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ ในขณะที่การอธิบายในงานเขียนก่อนหน้ามักให้ความสำคัญที่ความสามารถของพระมหา กษัตริย์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อยุธยาอ่อนแอและต้องพ่ายแพ้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม การศึกษาในระยะหลังเห็นว่า อาณาจักรอยุธยา เกิดจากการรวมตัวของเมืองต่าง ๆ ที่มีผู้ปกครองของตัวเองและยอมรับอำนาจของราชธานี หัวเมืองต่าง ๆ จึงค่อนข้างอยู่อย่างอิสระ เว้นแต่ในบางช่วงเวลาที่ราชธานีพยายามควบคุมมากขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ส่งราชนิกูลไปปกครอง หรือให้มีขุนนางยกกระบัตรไปกำกับการทำงานของเจ้าเมืองและกรมการเมืองอีกชั้น หนึ่ง แต่ก็มักเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องและอาจถูกต่อต้านจากหัวเมืองในที่สุด มีผลทำให้อยุธยามีอำนาจและความสามารถในการป้องกันตนเองที่จำกัด
              แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้ามังระ กษัตริย์พระองค์ที่ 3 ของราชวงศ์อลองพญา (กษัตริย์พระองค์ที่ 2 คือ พระเจ้ามังลอก) ได้ยกกองทัพหวังจะตีกรุงศรีอยุธยาให้แตกพ่าย ได้ตั้งป้อมปราการที่วัดหน้าพระเมรุ (ด้วยเหตุนี้วัดหน้าพระเมรุจึงเป็นวัดเก่าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาวัดเดียว ที่มีสภาพดีอยู่) และทำลายกรุงศรีอยุธยาด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งการยิงปืนใหญ่ ลอกทองจากพระพุทธรูป จับผู้คนไปเป็นเชลย ส่วนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ ก็เสด็จสวรรคตด้วยเหตุที่พระองค์หลบซ่อนจนไม่ได้เสวยพระกระยาหาร
            ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากได้ทำการกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ไม่นานหลังจากที่พระเจ้ามังระสามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ พระยาตากทรงเล็งเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นย่อยยับเกินกว่าที่จะทำการบูรณะ ซ่อมแซมได้ จึงไปตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
           *** มูลเหตุการเสียกรุง ทั้ง 2 ครั้ง ***
  1.ขาดความสามัคคี หัวเมืองต่าง ๆ ไม่รวมเป็นหนึ่ง แยกกันสู้ศึก โดยศูนย์กลางอำนาจ (อยุธยา) ไม่ให้การสนับสนุน
  2. เห็นประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ
  3. ผู้นำอ่อนแอ
         ******** ความแตกต่าง ***********
1.   ในเรื่องของการเสียกรุง มีความคล้ายกัน จึงมีความแตกต่างไม่มากนัก
    1.1 ครั้งที่ 1 เมื่อตกเป็นเมืองขึ้น ยังคงให้คนไทยปกครอง โดยนำพระเนศวร ไปเป็นตัวประกัน  เมืองไม่ถูกทำลายมากนัก
    1.2 ครั้งที่ 2 ส่งพม่า มาดูแล และทำลายเมืองอย่างย่อยยับ
2. สำหรับเรืองการกู้เอกราช มีความแตกต่างกัน
   2.1 ครั้งที่ 1 -- รบกับพม่า
   2.2 ครั้งที่ 2 -- รบกับคนไทยด้วยกัน (รวบรวมก๊กต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่ง) แล้วจึงรบกับพม่า

17 ความคิดเห็น:

  1. ครั้งที่ 2 ถูกทำลายย่อยยับ ยากที่จะสร้างสรรค์กลับคืนมาใหม่ ภูมิปัญญา ถูกทำลายสิ้นพร้อมชีวิต หรือตกเป็นทาสเชลยศึก สงคราม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นี่คือความเเตกต่าง

      ลบ
    2. การเสียกรุงศรีส่งผลกระทบต่อวรรณคดีอย่างไรคะ

      ลบ
  2. การทำลายล้าง ในปี 2310 ไทยเสียหายย่อยยับ เกินกว่าจะสร้างสรรคืกลับคืนมาดังเดิม สูญเสียภูมิปัญญา ไปกับการสิ้นชีวิต และทาสเชลยศึกสงคราม สูญเสียปืนจนหมดสิ้น หลายหมื่นกระบอก

    ตอบลบ
  3. มีรายงานส่งครูเเล้ว ละเอียดมาก

    ตอบลบ
  4. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  5. ในอดีต พม่า เก่งกว่าไทย 10 เท่า เป็นทัพที่สามัคคี เข้มแข็ง

    ตอบลบ
  6. การเสียกรุงครั้งที่2เเละกอบกู้เอกราชได้เมื่อพ.ศ.อะไรค่ะ

    ตอบลบ
  7. การเสียกรุงครั้งที่2เเละกอบกู้เอกราชได้เมื่อพ.ศ.อะไรค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. กอบกู้เอกราชได้เมื่อปีพ.ศ.2310โดยสมเด็จพระเจ้าตากครับ

      ลบ
  8. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  9. จริงแล้วผมคิดว่าการเสียกรุงครั้งที่2เราไม่ได้วางแผนอะไร่เลยโดยใช้ตั้งรับจะไปโทษผู้นำก็ไม่ได้พวกขุนนางก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยขุนศึกเก่งแทบจะไม่มี

    ตอบลบ
  10. มีรายงานส่งครูแล้ว

    ตอบลบ
  11. เหตุการ์ณการเสียกรุงศรีครั้งที่1ให้ข้อคิดอะไรบ้างคะ

    ตอบลบ
  12. การเสียกรุงศรีส่งผลกระทบต่อวรรณคดีอย่างไรคะ

    ตอบลบ
  13. กอบกู้ครั้งที่1เเละคนั้งที่2ได้ยังไงคะ

    ตอบลบ